ในขณะที่ปัจจุบันการทำธุรกิจออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะเพียงแค่คุณมีบัญชีเฟซบุ๊กคุณก็สามารถเปิดเพจไว้ขายของกันได้ง่ายๆ ซึ่งอาจทำให้คุณคิดว่า? การทำเว็บไซต์เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เราอยากจะบอกคุณว่า… ถึงแม้ตอนนี้เราจะใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่าการใช้คอมพิวเตอร์ แต่สุดท้ายเราก็ยังใช้ Google ในการเสิร์ชหาข้อมูลอยู่ดีใช่ไหมคะ และ Google ก็ยังเป็นตัวกลางชั้นดีที่จะทำให้ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์ออนไลน์ของคุณได้ง่ายขึ้นนี่เอง
“หากวันหนึ่งคุณไม่สามารถเข้า Facebook ได้ หรือ Facebook โดนบล็อค หรือคนไม่นิยมใช้งานกันแล้ว ธุรกิจของท่านจะทำอย่างไร ?”
อย่าลืมว่า Facebook เป็นเพียงช่องทางหนึ่งที่ใช้ในการโปรโมทธุรกิจของคุณเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณต้องการที่จะสร้างแบรนด์ในระยะยาวและยั่งยืน คุณจำเป็นต้องมีเว็บไซต์ที่เปรียบเสมือนหน้าร้านของคุณ
ซึ่งเราจะมาเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของ Facebook Page กับ Website กันให้ดูค่ะ
ในด้านของ “ค่าใช้จ่ายในการสร้าง”
ในด้านของ “การสร้างแบรนด์และการปรับแต่ง”
ในด้านของ “เวลาที่ใช้ในการสร้าง”
ในด้านของ “การอัพเดทข้อมูล”
ในด้านของ “การจัดการกับระบบ”
ในด้านของ “Search Engine Optimization – SEO”
ในด้านของ “การตลาด”
ในด้านของ “การขายสินค้า”
ในด้านของ “การติดตั้งซอร์ฟแวร์”
ในด้านของ “Customer Support”
เมื่อเราได้เปรียบเทียบกันแบบหมัดต่อหมัดแล้ว ในระยะยาว Website ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า เพราะคุณสามารถควบคุมทุกอย่างด้วยตัวคุณเอง ในขณะที่ Facebook ก็มีข้อจำกัดในการใช้งาน
ดังนั้นเราจึงแนะนำว่าให้คุณทำทั้งสองอย่าง คือ ให้เว็บไซต์ ทำงานผสานกันกับ ช่องทางโซเชียลอื่นๆ เพราะต่างมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป
เรามาดูกันค่ะว่า การมีเว็บไซต์ จะทำให้การทำธุรกิจของคุณ โดดเด่น มีประสิทธิภาพและทรงพลังคุณสามารถต่อยอดเว็บไซต์ ใช้ข้อดีของ Facebook ช่วยในการทำการตลาด ให้ธุรกิจของคุณอยู่เหนือคู่แข่งได้ไม่ยาก
เพราะการมีแค่เพจบน facebook นั้นไม่เพียงพอต่อการทำธุรกิจออนไลน์ อันนี้จะเห็นได้ชัดเลยว่า เวลาที่เราต้องการข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับบริษัท เราก็มักจะเข้าไปหาเพิ่มที่เว็บไซต์ของบริษัท ซึ่งหากพบว่าบริษัทนั้นไม่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็อาจลดความน่าเชื่อถือของบริษัทได้
ดังนั้นเว็บไซต์ จึงเปรียบเสมือนออฟฟิศแบบออนไลน์ เป็นตัวตนที่ลูกค้าคาดหวังว่าจะสามารถเข้าถึง ติดต่อ สอบถาม เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ สินค้า หรือตัวธุรกิจให้มากขึ้นได้ และยังเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อกับ social media และ application ต่างๆได้ทั้งหมด
การใช้เฟซบุ๊กและเว็บไซต์ควบคู่กันกับเว็บไซต์จะทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น เพราะว่าอะไรนะเหรอ?
ก็เพราะว่า การใช้เฟซบุ๊กจะช่วยให้คุณสามารถโปรโมทโปรโมชั่นต่าง ๆ หรือโปรโมทสินค้าออกใหม่ได้เป็นอย่างดี และเป็นที่รู้กันว่า เฟซบุ๊กนิยมใช้รูปภาพและวีดีโอ แต่ไม่นิยมใช้ข้อความที่ยาวมากนัก จึงทำให้ลูกค้าเห็นสินค้าของเราได้ง่ายกว่า
ดังนั้นเมื่อลูกค้าต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วธุรกิจของเรามีเว็บไซต์ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้ามาหาข้อมูลสินค้าต่อได้ที่หน้าเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวสินค้า หรือรูปร่างหน้าตาของผลิตภัณฑ์ และข้อมูลเชิงลึกอีกมากมาย
เมื่อเราสามารถทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักผ่านเฟซบุ๊ก และพาคนเหล่านั้นไปยังเว็บไซต์ต่อได้ก็จะทำให้เรามีฐานลูกค้าจากหลายช่องทางเพิ่มมากขึ้นค่ะ
การที่ธุรกิจมีตัวตนอยู่บน facebook, instagram หรือ line นั้น บัญชีเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่บนแพลทฟอร์มของผู้ให้บริการเหล่านั้น เจ้าของธุรกิจไม่ได้มีสิทธิ์ขาดทั้งหมด จึงอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้น
เช่น หากมีการปิดบัญชีด้วยเหตุไม่คาดฝัน การเปลี่ยนนโยบาย หรือการเปลี่ยนระบบซอฟท์แวร์บางอย่าง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการติดต่อของลูกค้าและทำให้เราไม่สามารถควบคุมได้เหมือนกับการมีเว็บไซต์เป็นของเราเอง ที่เรามีสิทธิ์ขาดและสามารถควบคุมทุกอย่างได้เอง
ในยุคปัจจุบันทุกคนสามารถค้นหา สินค้าและบริการต่างๆกันได้ง่ายๆผ่าน google ดังนั้นการได้อยู่บนหน้าค้นหาของ google จึงสำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจ โดย google จะให้ความสำคัญกับ keyword ที่มาจากเว็บไซต์ เพราะฉะนั้นหากธุรกิจไม่มีเว็บไซต์ หรือมีเว็บไซต์ไม่มีคุณภาพก็อาจทำให้คุณเสียโอกาสทางธุรกิจเมื่อต้องแข่งขันกับเจ้าอื่น
ถ้าคุณกำลังคิดว่า เว็บไซต์หน้าตาสวยๆ การใช้งานก็คงเหมือนๆกัน เราจะยกตัวอย่างง่ายๆให้คุณได้ลองมองอีกมุมนึงค่ะ สมมตินะคะว่าคุณกำลังเป็นเจ้าของร้านขายกระเป๋า สิ่งที่จะทำให้คุณแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ คืออะไร?
สิ่งที่จะทำให้คุณแตกต่างจากแบรนด์อื่นนั่นก็คือ การสร้าง “Value” ให้กับแบรนด์ เมื่อคุณต้องการออกแบบกระเป๋าขึ้นมาสักใบหนึ่ง คุณจะต้องคิดแล้วว่า กระเป๋าของคุณต้องมีสีอะไร มีกี่ช่อง แต่ละช่องมีประโยชน์อย่างไร เหมาะสำหรับใคร แตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างไร ด้วยกระบวนการคิดที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้นั่นเองที่จะทำให้กระเป๋าของคุณนั้นแตกต่างจากแบรนด์อื่น
เช่นเดียวกันกับการออกแบบเว็บไซต์ ที่คุณจะต้องออกแบบให้ลูกค้า เข้าใจได้ว่า คุณต้องการจะขายอะไร เนื้อหาข้อมูลที่ถูกต้องและกระชับเข้าใจได้ง่ายภายในไม่กี่ประโยค เลือกใช้รูปภาพที่สวย และดึงดูด สามารถสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งทุกอย่างที่ได้พูดมาก็คือ หัวใจหลักของการออกแบบเว็บไซต์ นั่นเอง
รายละเอียดเหล่านี้ จะสร้างความประทับใจให้ลูกค้าของคุณได้ไม่ยาก เพราะการออกแบบที่ดี สะท้อนให้เห็นถึง “ความใส่ใจ” เมื่อลูกค้ารับรู้ได้ถึงความใส่ใจในการออกแบบเว็บไซต์ ก็จะส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นว่า บริษัทหรือแบรนด์นี้ก็น่าจะให้ “ความสำคัญ” กับเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น การผลิต การเลือกวัสดุ การดูแลลูกค้า ด้วยเช่นกัน
การออกแบบเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญ โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การสื่อความหมายที่ชัดเจนและน่าสนใจ โดยอยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่ายและความสะดวกของผู้ใช้
การออกแบบที่ดี จะทำให้ไม่เอาท์ง่าย ยิ่งเว็บไซต์ที่ได้รับความเอาใจใส่เป็นอย่างดี ดีไซน์นั้นจะอยู่ได้หลายปีดูยังไงก็ไม่ตกเทรนด์ ทำให้เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมานั่งดีไซน์ใหม่ให้เสียเวลา และเสียเงินเพิ่มโดยเปล่าประโยชน์
เราจะต้องออกแบบให้เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน สะดวกในการใช้งาน เพราะจะทำให้ผู้ใช้ไม่สบายตา หน้าตาของเว็บไซต์จะต้องมีความสัมพันธ์กับคุณภาพขององค์ประกอบต่างๆ เช่น คุณภาพของกราฟิกที่สมบูรณ์ การใช้สี การใช้ตัวอักษรที่อ่านง่าย สบายตา การใช้โทนสีที่เข้ากัน ลักษณะหน้าตาที่น่าสนใจ
รูปแบบของเว็บไซต์เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ จะต้องใช้รูปแบบเดียวกันตลอดทั้งเว็บไซต์ เช่น รูปแบบของหน้าในแต่ละหน้า สไตล์ของกราฟิกและโทนสี ควรมีความคล้ายคลึงกันตลอดทั้งเว็บไซต์ และต้องสะท้อนถึงเอกลักษณ์หรือลักษณะขององค์กรนั้น ๆ เช่น ถ้าเป็นเว็บไซต์ของทางราชการจะต้องทำให้ดูมีความน่าเชื่อถือ เป็นต้น
เนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นคุณควรจัดเตรียมเนื้อหาและข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการให้ถูกต้อง และสมบูรณ์ มีการปรับปรุงและเพิ่มเติมให้ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ และเนื้อหาจะต้องไม่ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น จึงจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าสนใจ
การออกแบบระบบเนวิเกชันจะต้องออกแบบให้ผู้ใช้เข้าใจง่ายและใช้งานสะดวก ใช้กราฟิกที่สื่อความหมายร่วมกับคำอธิบายอย่างชัดเจน มีรูปแบบและลำดับของรายการที่สม่ำเสมอ เช่น การวางไว้ตำแหน่ง เดียวกันของทุกหน้า เป็นต้น
ผู้ใช้จะเลือกใช้บราวเซอร์ชนิดใดก็ได้ นการเข้าถึงเนื้อหา เว็บไซต์ของคุณจะต้องแสดงผลได้ทุกระบบปฏิบัติการและความละเอียดหน้าจอต่างๆกันอย่างไม่มีปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก
ในตอนนี้ เว็บไซต์ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างธุรกิจของคุณให้เติบโต และการออกแบบนั้นแสดงถึงภาพลักษณ์ของบริษัทและองค์กร ดังนั้นการใส่ใจในทุกรายละเอียดของการออกแบบให้ออกมาดีที่สุดจะส่งผลให้ธุรกิจของคุณ
ถ้าเราสามารถทำให้เกิดความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นได้แล้ว ลูกค้าก็อยากจะดูเนื้อหาข้างในว่า มีอะไรให้น่าติดตามด้วยหรือเปล่า แต่ว่าถ้าหากเราไม่ประทับใจในครั้งแรกแล้ว เนื้อหาข้างในเราก็พลอยจะไม่อยากจะเปิดดูไปด้วย อย่าลืมว่าเว็บไซต์เดี๋ยวนี้มีให้ดูเยอะแยะมากมาย ถ้าเว็บไซต์เราไม่ดีจริง ผู้ใช้งานก็พร้อมจะปิดได้ทุกเมื่อเช่นกัน
ความไว้วางใจ น่าเชื่อถือ ถือว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆเลย เพราะว่าถ้าหากคุณมีเว็บไซต์ที่ต้องการขายอะไรสักอย่าง หรือการให้บริการอะไรก็แล้วแต่ การที่คุณมีเว็บไซต์ที่ดูดี คุณก็จะได้รับความไว้วางใจมากขึ้นนั่นเอง
ในปัจจุบันการทำเว็บไซต์เราจะต้องคำนึงถึงการทำ SEO ด้วย เพราะการที่เราทำเว็บไซต์อย่างพิถีพิถัน จะทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นมิตรกับการค้นหา ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้เว็บของเราได้ติดอันดับใน Google คนก็จะเข้าชมเว็บไซต์เราเพิ่มมากขึ้น และผลต่อเนื่องก็คือ คุณก็จะมีโอกาสได้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้นนั่งเอง
จะเป็นอย่างไร ถ้าเว็บไซต์ของคุณ มีความโดดเด่นในวงการอย่างน้อยก็คงทำให้กิจการของเราดูน่าสนใจมากกว่าของคนอื่นแน่ๆ ยิ่งพอกิจการเราโดดเด่น คู่แข่งก็ยิ่งลดน้อยลง แต่การมีเว็บไซต์ที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่ดูดีแต่เปลือกนอกเท่านั้น เนื้อหาของเราก็ต้องตอบโจทย์ผู้เข้าชมด้วย
อย่างที่บอกไปว่า เว็บไซต์ที่ดูดี มีความเป็นมืออาชีพนั้น ต้องมีทั้งการออกแบบที่สวยงาม มีการใช้งานที่ง่าย และมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์ ดังนั้น ถ้าเว็บไซต์ของเรามีองค์ประกอบที่ดี ก็ทำให้ลูกค้าชื่นชอบเว็บเราเพิ่มขึ้น คนก็อยากที่จะติดต่อเรามากขึ้น พอติดต่อเรามากขึ้น ก็หมายถึงลูกค้าที่เราเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง