สุดยอดกลยุทธ์ของผู้มีเว็บไซต์ รวม 5 ข้อสำคัญ เปลี่ยนผู้ชมเว็บไซต์ ให้กลายเป็นลูกค้าได้ทันตาเห็น
สำหรับผู้ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง อันดับแรกเลยที่ต้องทำ ก็น่าจะเป็นการทำอย่างไรก็ได้ ให้คนเข้าเว็บไซต์เยอะที่สุด เจ้าของธุรกิจทุกคน ก็จะต้องหากลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์
พอคนเข้าเว็บไซต์เยอะแล้ว คุณทำอย่างไรต่อ?
หลายคนพยายามทุกทางเพื่อหาคนเข้าเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว แต่กลับเสียเงินค่าคลิกไปอย่างเปล่าประโยชน์ เพราะ ผู้คนเหล่านั้น เข้ามาแล้วก็ออกไป ไม่ได้เกิดการปิดการขายแต่อย่างใด
แต่วันนี้คุณไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป เพราะ KODSANA.COM ขอแชร์สุดยอดกลยุทธ์ ที่จะเปลี่ยนจากผู้ชมเว็บไซต์ ให้กลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญ จะมีวิธีการอย่างไรบ้าง ไปอ่านกันเลย
ในข้อแรกนั้น เราจะพูดถึงเรื่องการผลิตเนื้อหา ให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการมากขึ้น แต่หลายคนยังไม่ทราบว่าควรสร้างอย่างไรดี ถึงจะตรงใจผู้ชมเว็บไซต์มากที่สุด เราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยการทดลองทำ “Buyer Persona” จะมีวิธีการอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไร ไปอ่านกันเลย
Buyer Persona คืออะไร?
Buyer Persona หรือที่เรียกได้อีกชื่อว่า Customer Persona หมายถึง การจำลองกลุ่มลูกค้าสมมติ เพื่อให้คุณสามารถมองเห็นข้อแตกต่างของลูกค้าแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็น อายุ ฐานะ การศึกษา หรือ บุคลิกและความชอบส่วนตัว เพื่อให้สามารถปรับรุงสินค้าหรือวางกลยุทธ์ธุรกิจของคุณให้มีประสิทธิภาพ
ซึ่งการสมมติกลุ่มเป้าหมายขึ้นมานั้น เริ่มจากคุณจะต้องตอบคำถามให้ได้ ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร มีปัญหาอะไรที่พวกเขาพบเจอบ่อยๆ เป้าหมายของพวกเขาคืออะไร? เพื่อจะนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ต่อได้ว่า เนื้อหาที่เหมาะสมกับว่าที่ลูกค้าของคุณควรจะเป็นอย่างไรดี เป็นเหมือนการเดาใจกลุ่มเป้าหมาย ว่าเขาชอบอ่านอะไรแบบไหน ซึ่งหากคุณไม่รู้จะเริ่มสร้างข้อมูลตรงไหนก่อนดี ให้เริ่มจากข้อมูลด้านล่างนี้ได้เลย
วิธีสร้าง Buyer Persona
ขอบคุณภาพจาก : hallaminternet.com
เพื่อทำการตลาดได้อย่างตรงจุด คุณจำเป็นต้องสร้างแผนผัง Buyer Persona ขึ้นมาก่อน โดยทำการสมมติบุคลลิกของลูกค้าขึ้น 1 คน หรือมากกว่านั้นก็ได้ ตามแล้วแต่ธุรกิจของคุณ ส่วนใหญ่ มักจะทำที่ 3 Persona ซึ่งรายละเอียดการสร้างแผนผังก็มีดังนี้
ขอบคุณภาพจาก : livechatinc.com
เพราะเราจะไม่ยอมปล่อยให้ผู้ชมที่เข้ามาข้อมูลแล้วออกไปเฉยๆ เราพยายามจะเก็บข้อมูลของคนที่เข้ามาให้ได้มากที่สุด เพราะหากคุณปล่อยให้พวกเขา ปิดเว็บไซต์ของคุณ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นหมายถึงคุณเสียโอกาสให้เขากลายเป็นลูกค้าคุณไปแล้ว 100% ดังนั้น คุณจะต้องดึงดูดใจพวกเขา เพื่อที่จะให้ผู้ชมเว็บไซต์ของคุณยอมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น อีเมล เบอร์โทร
ซึ่งวิธีที่จะได้มาซึ่ง ข้อมูลของผู้ชมเว็บไซต์นั้น คุณอาจจะต้องทำการยื่นข้อเสนอ ที่พวกเขาได้รับประโยชน์ จนถึงกับต้องยอมแลกข้อมูล เช่น กรอกอีเมลเพื่อรับสินค้าทดลองฟรี , สมัครสมาชิกเพื่อติดตามโปรโมชั่น ฯลฯ ซึ่งเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า การทำ Call To Action นั่นเอง แล้วการเก็บข้อมูลของผู้ชมเว็บไซต์จะมีประโยชน์ในด้านใดบ้าง ไปอ่านกันเลย
วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำมากขึ้น
ในการทำ Google Ads นั้น ข้อมูลเบื้องต้นที่เราทราบจากผู้ชมเว็บไซต์ ก็คงจะเป็น กลุ่มคำที่พวกสนใจ เราจะทราบเพียงว่า พวกเขาเสิร์ชคำว่าอะไรใน Google ถึงได้มาเจอเว็บไซต์เรา ทีนี้การที่จะเราจะเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้านั้น เราจำเป็นที่จะต้องรู้ลึกไปถึง พฤติกรรมของพวกเขา เช่น ชอบสินค้าตัวไหนมากที่สุด ชมเว็บไซต์หน้าไหนนานที่สุด เมื่อเกิดเป็นข้อมูลเยอะๆ เข้า เราก็จะรู้ได้ชัดแจ้งมากขึ้น ว่าจริงๆ แล้วนั้นผู้ชมเว็บไซต์ของคุณนั้นชอบอะไร
มีประโยชน์ต่อการทำ Remarketing
เพราะในการทำ Remarketing นั้น คุณจะเริ่มทำตั้งแต่แรก โดยไม่มีข้อมูลอะไรเลยไม่ได้ เพราะมันคือการ ยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าเว็บไซต์ของเรามาแล้ว ดังนั้นจะเป็นการดีมาก หากกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าเว็บไซต์ของคุณ มีข้อมูลที่ละเอียดมากพอ เชิงลึกพอ เช่น เพศ อายุ ความสนใจ พฤติกรรมผู้บริโภค นั่นหมายถึงว่า ยิ่งคุณมีข้อมูลผู้ชมเว็บไซต์อยู่ในมือมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้การทำ Remarketing ของคุณ ส่งไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำมากขึ้นนั่นเอง
ขอบคุณภาพจาก : blog.quiet.ly
Conversion Rate คืออะไร?
หลายคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้วสำหรับคำว่า Conversion ซึ่งถ้าจะเรียกง่ายๆ ก็คือตัวชี้วัดสำหรับการกระทำบางอย่างที่เรากำหนดเอง แต่พอกล่าวถึง Conversion Rate ก็อาจจะมีบางคนที่ไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วมันคืออะไร ซึ่ง Conversion Rate นั้นก็คือ สัดส่วนของจำนวนคนที่ทำในสิ่งที่คุณอยากให้ทำกับจำนวนคนทั้งหมด ซึ่งโดยปกติแล้วคำคำนี้จะถูกเรียกเป็นเปอร์เซนต์
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าภายใน 1 เดือนเว็บไซต์ของคุณมียอดคนเข้าชมทั้งหมด 100 คน แต่มีเพียง 1 คนจากผู้เข้าชมทั้งหมดเท่านั้นที่จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าของคุณ Conversion Rate ของร้านคุณจะคิดเป็น 1/100 หรือ 1% ต่อเดือน แต่ถ้าในเดือนนั้นมีลูกค้า 5 คนซื้อสินค้าของคุณ Conversion Rate ของร้านค้าก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 5/100 หรือ 5% ต่อเดือนนั่นเอง
อ่านมาจนถึงตรงนี้ คุณอาจจะไม่รู้สึกว่าตัวเลข 1% กับ 5% ส่งผลที่แตกต่างกับธุรกิจมากขนาดนั้น แต่หากคุณลองคิดเป็นจำนวนเงิน ความแตกต่างเพียงแค่เล็กน้อยนี้อาจหมายถึงยอดขายที่แตกต่างกันอย่างมากเลยก็ได้
วิธีเพิ่ม Conversion Rate
ซึ่งการเพิ่ม Conversion Rate ก็สามารถทำได้หลายอย่างด้วยกัน เราจะยกตัวอย่าง ให้คุณลองไปปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณดังนี้
เวลาที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ของลูกค้า ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพของเว็บไซต์ของเรา การมีคนเข้าชมเว็บไซต์เราในปริมาณสูง อยู่บนหน้าเว็บไซต์เป็นเวลานาน ย่อมส่งผลให้คุณภาพของเว็บไซต์ของเรา ดีขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งทาง Google ก็ได้กำหนดมาตรฐานขึ้นมา ว่าเว็บไซต์ที่ดี ควรมีระยะเวลาเข้าชมเว็บไซต์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3 นาที โดยสามารถอ้างอิงได้จาก 10 เว็บไซต์ที่มีผลการค้นหาอยู่ในหน้าแรกของ Google นั้น มักจะมีค่าเฉลี่ยประมาณนี้เสมอ ซึ่งการที่มีคนเข้าชมเว็บไซต์เรานานๆ ระบบของ Google ก็จะคำนวนออกมาเองว่า เว็บไซต์ของเรานั้นมีประโยชน์ต่อผู้ค้นหา มีข้อมูลที่ผู้ค้นหาต้องการ จึงเกิดเป็นปัจจัยหนึ่ง ของการส่งให้เว็บนั้นๆ ถูกแสดงแสดงเป็นอันดับต้นๆ ของหน้าค้นหานั่นเอง
ผลิตเนื้อหาคุณภาพ
กลยุทธ์นี้โดยรวมหมายถึงการทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพสูงสุด และพร้อมต่อการขายสินค้า นั่นหมายความว่าต้องผ่านกระบวนการออกแบบที่ดี เข้าใจง่าย ข้อมูลไม่ซ้ำซ้อน มีระบบชำระเงินปลอดภัย ดาวน์โหลดไม่นาน และรองรับการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน นอกจากนั้นต้องมีกลวิธีในการดึงดูดความสนใจเพิ่มเข้าไปด้วย
1 .เขียนคำโฆษณา (Copywriting) ให้สั้น กระชับ ชัดเจน เข้าใจง่าย
2. วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อกำหนดรูปแบบ และเนื้อหาให้ตรงกับอายุ เพศ รายได้ ของกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด
3. ออกแบบเว็บไซต์ให้ทันสมัย ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยากต่อการทำความเข้าใจ
ชมเว็บไซต์นานขึ้นด้วยวีดีโอที่น่าสนใจ
ขอบคุณภาพจาก : mediaimages.com
นอกจากการมีเนื้อหาที่ดี เพื่อดึงดูดให้ผู้อ่านอยู่ที่หน้าเว็บของเราได้นานขึ้นแล้วนั้น การใช้วีดีโอเป็นตัวช่วย เพื่อปรับเปลี่ยนอรรถรสในการรับข้อมูล ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะดึงความสนใจให้ผู้อ่านยังอยู่กับเนื้อหาของเรา ทำให้ผู้อ่านไม่รู้สึกเบื่อกับตัวหนังสือจนเกินไป
แต่วีดีโอที่ว่า ก็ควรเป็นวีดีโอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา สอดคล้องไปกับสิ่งที่เราเขียน เพราะจะได้สื่อสารข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันนั่นเอง
เสริมกำลังด้วย Internal links
ขอบคุณภาพจาก : socialpatterns.com
Internal links คือการลิงค์เนื้อหาในหน้าอื่นๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์ของเรา มาใส่ในหน้าอื่นๆ สลับกันไปมา ไม่ว่าจะเป็น หน้าสินค้าที่เกี่ยวข้อง , บทความที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ซึ่งมีจะเป็นประโยชน์มากต่อการทำ SEO และที่สำคัญคือ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มเวลาให้ผู้ชม ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ของเราให้นานขึ้น เช่น จากหน้าสินค้าไปสู่บทความเกี่ยวกับสินค้า จากบทความไปสู่สินค้าชิ้นอื่น ๆ เป็นลิงค์ข้อมูลที่ต่อกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้ก็ช่วยให้ผู้อ่านสามารถใช้เวลาบนเว็บไซต์ของเราได้อย่างยาวนาน อีกทั้งการมีลิงค์ที่ต่อเนื่องกัน ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้ชมกำลังสนใจ พวกเขาจึงอยากเปิดไปหน้าอื่น เรื่อยๆ จนกว่าเขาจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนนั่นเอง
ขอบคุณภาพจาก : fiverr.com
จูงใจด้วยส่วนลดพิเศษ
เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเทคนิคการตลาดพื้นฐานประเภท “ลด แลก แจก แถม” นั้น ยังคงได้ผลดีกับทุกกลุ่มเป้าหมาย และทุกช่องทางจริงๆ เพราะแม้พฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนไป เช่น เลิกเดินห้าง แต่หันไปซื้อของออนไลน์กันมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ก็คือ นิสัยพื้นฐานของมนุษย์ ที่มักจะรู้สึกดี เมื่อพวกเขาได้สิ่งหนึ่ง ที่รู้สึกว่ามันพิเศษ เช่น ของฟรี ของส่วนลด แล้วทำไม คุณจะนำกลยุทธ์นี้มาใช้บนโลกออนไลน์ไม่ได้ล่ะ? ให้ลองจูงใจผู้ชมเว็บไซต์ด้วยการแจกส่วนลด แต่อาจจะต้องแลกกับการสมัครสมาชิก หรือกรอกข้อมูล เมื่อมีข้อมูลพวกเขาอยู่ในกำมือแล้ว ผู้ชมเว็บไซต์ ก็กลายเป็นลูกค้าได้ไม่ยากเลย
จูงใจด้วยการแจกสิ่งที่ผู้เข้าชมอาจจะสนใจ
สิ่งที่คุณต้องคิดต่อก็คือ สินค้าและบริการของคุณ สามารถแจกอะไรคืนสู่ผู้ชมเว็บไซต์ได้บ้าง? ก็ต้องมาดูว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นคืออะไร เกี่ยวกับอะไร และคนที่มาดูเว็บไซต์ของเรานั้น คาดหวัง และต้องการอะไรจากเรา? ยกตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์ของคุณทำการตลาดออนไลน์ สิ่งที่ผู้ชมอยากได้ อาจจะเป็นแค่ E-book เจ๋งๆ สักเล่ม หรือหากเว็บไซต์ของคุณเป็นเกี่ยวกับความสวยความงาม การแจกสินค้าทดลองไปใช้ฟรีๆ ก็อาจจะมีประโยชน์กับผู้ชมเว็บไซต์ เพราะแน่นอนว่าพวกเขาอาจจะกลายมาเป็น ลูกค้าของคุณในอนาคตก็ได้ ถือว่าเป็นกลยุทธ์สุดพิเศษที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณนั้น มีคนสนใจมากขึ้น มีคนเกิดการกระทำ ที่เรียกว่า Conversions เยอะมากขึ้นนั่นเอง
เพราะในสนามแข่งขันจริงๆ การทำธุรกิจออนไลน์ ไม่เพียงแต่หาคนเข้าเว็บไซต์แล้วก็จบไป เพราะ หากเว็บไซต์ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ผู้ชมเว็บไซต์ของคุณก็จะปิดออกจากเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นเราจึงต้องทำทุกทางเพื่อเปลี่ยนให้ผู้ชมเว็บไซต์ ให้กลายเป็นลูกค้าของเราให้ได้ ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ มากมายดังนี้
กำหนด Buyer Persona – เพื่อทำความรู้จักลูกค้าที่แท้จริง
เก็บข้อมูลของผู้ชมเว็บไซต์ให้ได้มากที่สุด – เพราะจะมีประโยชน์มาก กับการวิเคระห์ผู้ชมเว็บไซต์ และการทำ Remarketing
ใช้ Conversion Rate – เพื่อเป็นตัวชี้วัด ว่าพวกเขาจะมาเป็นลูกค้าเราจริงๆ หรือเปล่า
ทำให้ผู้ชมอยู่บนเว็บไซต์เรานานขึ้น – เพราะยิ่งนาน จะยิ่งเพิ่มโอกาสปิดการขาย ได้รวดเร็ว
สร้างแรงจูงใจ ด้วยการยื่นข้อเสนอ – เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ชอบการ “ลด แลก แจก แถม” ยังคงใช้ได้กับทุกยุค ทุกสมัย
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงตัวอย่างง่ายๆ เพราะยังมีอะไรในโลกออนไลน์ ให้คุณได้เรียนรู้อีกมากมาย แต่ลองใช้เท่านี้ดู แล้วคุณจะได้ลูกค้าเพิ่มเข้ามาอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียวล่ะ