5 เหตุผล ที่ไม่ควรใช้ Facebook Fanpage ทำ Google Ads 

Panida
|Updated: Dec 21, 2023

เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนมักจะสงสัยว่า หากสนใจที่จะทำลงโฆษณา Google Ads แต่ยังไม่มีเว็บไซต์สามารถทำได้หรือไม่? ถึงไม่มีเว็บไซต์ แต่เรามี Facebook Page นะ ใช้ Facebook Page เป็น Landing Page แทนได้หรือไม่? เพราะคุณอาจจะไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของการทำเว็บไซต์เพิ่ม หรือคิดว่า Facebook Page ของธุรกิจของคุณนั้น มีผู้ติดตาม มีฐานลูกค้าเยอะอยู่แล้ว แบบนี้นำไปทำ Google Ads จะต้องเวิร์คอย่างแน่นอน

และก็กลับมาที่คำถามที่ว่า สามารถใช้ Facebook Page เป็น Landing Page ได้หรือไม่?

คำตอบของเราก็คือ “ได้ แต่ไม่แนะนำ”

จริงอยู่ที่การทำ Google Ads นั้น ไม่ได้มีกฎเขียนไว้ตายตัวว่าหน้า Landing Page จะต้องเป็นเว็บไซต์เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วจะเป็นหน้าอะไรก็ได้ ตามที่คุณต้องการ แม้กระทั่งหน้า Facebook Page แต่ทั้งนี้ ทุกอย่างในการตลาดออนไลน์นั้น ก็มีสิ่งที่เหมาะสมกับมันอยู่ หากคุณใช้ไม่ถูกที่ถูกทาง ก็อาจจะทำให้มันแสดงประสิทธิภาพได้ไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงไม่แนะนำให้ใช้ Facebook Page เป็น Landing Page นั้น KODSANA.COM ขอแชร์ 5 เหตุผล ที่จะทำให้คุณกระจ่างมากขึ้น

 

1. Facebook ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น Landing Page 

หาสินค้ายาก หาโพสต์ไม่เจอ

en.ryte.com

ด้วยลักษณะของ Facebook ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นสื่อ Social Media ทำให้รูปแบบการใช้งาน จะต้องมีการอัพเดตข้อมูลตลอดเวลา ทำให้ข้อมูลใหม่ๆ ที่เราสร้างขึ้นก็จะดันข้อมูลเก่าๆ ลงไปเรื่อยๆ  

ลองนึกภาพตาม ว่าหากคุณเลือก Facebook เป็น Landing Page กว่าลูกค้าจะเลื่อนหาไทม์ไลน์เพื่อเจอสินค้าที่ต้องการ หาโพสต์สินค้าที่กำลังหาอยู่ ก็จะหาได้ยากมาก หรือหาไม่เจอด้วยซ้ำ ทำให้คุณเสียโอกาสในขายสินค้า บริการ รวมไปถึงการติดต่อ บางทีสินค้าไม่ได้มีเพียงอยู่ชนิดเดียว แต่อาจมีหลายชนิด การทำนั่งค้นหาโดยเลื่อนไปในไทม์ไลน์ ถ้าเข้าไปแล้วหาอะไรไม่เจอแบบนี้ ลูกค้าก็จะทำการปิดหน้า Landing Page ของคุณทิ้ง และนั่นหมายความว่าคุณเสียโอกาสปิดการขายไปแล้วนั่นเอง

 

เลือกเว็บไซต์เป็น Landing Page ดีกว่าอย่างไร?

linkedin.com

เพราะว่าเว็บไซต์มีความเป็นมาตรฐานมากกว่า มีการจัดข้อมูลไว้อย่างเป็นระเบียบ เป็นหมวดหมู่มากกว่า ทั้งยังแบ่งเมนูออกเป็นสัดส่วน ค้นหาเจอได้ง่ายกว่า หาที่อยู่ไว้สำหรับติดต่อก็จะมองหาที่ Footer ของเว็บไซต์ได้ทันที เพราะเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐาน มักจะมีรูปแบบ UX ที่สามารถใช้งานได้ง่าย ใครที่ใช้งานเว็บไซต์จนชินก็จะทราบกันดี

อย่างเช่นคุณอยากดูว่า สินค้าในเว็บไซต์นั้นมีอะไรบ้างก็สามารถกดเข้าไปดูได้อย่างง่ายดาย  หรือว่าอยากได้ข้อมูลบริษัทก็สามารถเลื่อนลงมาดูที่ Footer ด้านล่างได้เลยในทันที อยากได้อะไรก็หาง่ายแบบนี้ ยังไงลูกค้าก็ไม่หายแน่นอน

 

 

2. คะแนนคุณภาพน้อย ต้องจ่ายแพงกว่า

คะแนนคุณภาพน้อย แล้วจะเกิดอะไรขึ้น?

searchenginejournal.com

คะแนนคุณภาพ หรือว่า Quality Score เป็นคะแนนที่ Google Ads จัดอันดับให้เราโดย มีตั้งแต่ระดับ 1-10 คะแนน ยิ่งคะแนนเราสูงขึ้น ก็จะยิ่งทำให้เราจ่ายเงินค่าคลิกน้อยลง หากเรามีคะแนนคุณภาพที่น้อยนั้น เราก็จะต้องจ่ายค่าคลิกแพงขึ้น อัตรการแสดงโฆษณาก็จะถูกแสดงน้อยลง และทำให้โฆษณาไม่ถูกแสดงในอันดับต้นๆ อีกด้วย ซึ่งปัจจัยหลักๆ ที่สามารถทำให้คะแนนคุณภาพสูงขึ้นก็เกิดจาก คีย์เวิร์ด , อัตราการคลิก และ Landing Page นั่นเอง

โดย Landing Page ที่ดี ที่สามารถทำให้คะแนนคุณภาพสูงขึ้นได้ คือจะต้อง โหลดเร็ว ใช้งานง่าย Mobile Friendly (ง่ายต่อการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ) และ ยังต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคีย์เวิร์ดที่เราใช้งานด้วย สาเหตุที่ต้องเป็นเช่นนี้ ก็เนื่องมาจาก Google เขาจะมีตัวอัลกอริธึมที่คอยตรวจสอบ ว่าเว็บไซต์ต่างๆ นั้นมีประโยชน์ต่อผู้ค้นหาหรือเปล่า หากผู้ใช้อยู่เว็บไหนนานๆ นั่นแปลว่าเว็บไซต์เป็นประโยชน์ พอมองกลับกัน หากคุณใช้ Facebook เป็น Landing Page ก็มีโอกาสให้ลูกค้าหาโพสต์ที่ต้องการไม่เจอ จึงกดปิดหน้านั้นทันที ส่งผลให้คุณได้ Quality Score ในส่วน Landing Page น้อยเกินไปนั่นเอง

 

ค่าคลิกแพงขึ้น ต้องจ่ายแพงกว่า

alladsnetwork.com

ถ้าหากว่าคะแนน Quality Score ของคุณต่ำกว่าคู่แข่งอยู่ที่ 4-5 คะแนน ซึ่งคุณอาจจะมองว่าเพียงเล็กน้อย แต่บอกเลยว่า เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ค่าคลิกของคุณก็แพงกว่าคู่แข่งเฉลี่ย 3-10 เท่าในอันดับโฆษณาเดียวกันได้เลย

ดังนั้นถ้าหากว่าคุณสามารถทำ Quality Score ให้อยู่ในอันดับที่สูงที่สุดได้ ก็จะช่วยเซฟทั้งค่าคลิกที่ถูกลง อันดับก็ดีขึ้น แบบนี้ยอดขายก็ต้องดีขึ้นตามแน่นอน 

 

 

3. ลูกค้าสนใจ แต่ไม่มีโอกาสกลับมาซื้อ 

Facebook Fanpage

support.themefuse.com

ถ้าหากว่าเราเลือกใช้ Landing Page เป็นเฟซบุ๊กแฟนเพจสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถทำได้คือ การ Remarketing นั่นเอง

การทำ​ Remarketing คืออะไร แล้วดียังไง?

อธิบายการทำ  Remarketing แบบง่ายๆ ก็คือ ถ้าหากคุณสนใจอยากจะซื้อกระเป๋าสักหนึ่งใบสิ่งที่คุณจะทำก็คือ เข้าไปเสิร์ชในกูเกิล เพื่อเลือกดูสินค้าจากหลากหลายเว็บ สิ่งที่เว็บไซต์ที่ทำ Remarketing จะทำก็คือ นำแบนเนอร์สินค้าไปติดตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆเพื่อที่จะทำให้คุณมีโอกาสในเห็นสินค้าอีกครั้ง และสามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้อีกครั้งนั่นเอง

ดังนั้นการ Remarketing ก็คือการเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้าที่เคยเป็นลูกค้าของเรา หรือเคยเข้ามาใช้งานเว็บไซต์ของเรา มีโอกาสที่จะได้เห็นสินค้าของเราอีกครั้ง ทำให้เป็นการเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น คุณสามารถทำความรู้จักการทำ Remarketing เพิ่มเติมได้ที่ : Remarketing คืออะไร จำเป็นต้องทำหรือไม่?

 

ทำไมการ Remarketing จึงไม่สามารถทำบน Facebook ได้?

สาเหตุที่ทำให้การทำ Remarketing  ไม่สามารถทำบนเฟซบุ๊กได้ ก็เพราะว่าการทำ Remarketing เราจะต้องนำ Tag Code ที่ได้มาจาก Google Adwords ไปติดตั้งบนเว็บไซต์ของเรา ซึ่งจะทำให้เราสามารถบันทึกข้อมูลของผู้เข้าชมเว็บไซต์ทุกคนได้ 

และที่ Tag Code ตัวนี้ไม่สามารถติดตั้งบนเฟซบุ๊กได้ก็เพราะว่าเราไม่ใช่เจ้าของเว็บไซต์เฟซบุ๊ก นี่แหละค่ะจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่สามารถทำ Remarketing ได้ เมื่อทำไม่ได้ลูกค้าก็ไม่มีโอกาสได้เห็นสินค้าของเราอีกครั้งนั่นเองค่ะ

4. ทำการวัดผลไม่ได้ 

Facebook Fanpage

Roiamplified.com

จริงอยู่ที่การทำ Google Ads ผ่านเว็บไซต์ หรือการทำ Facebook Ads นั้น สามารถทำการวัดผลได้อย่างแม่นยำ แต่ถ้าคุณนำมาเลือกใช้แบบผิดที่ ผิดทาง เช่น การลงโฆษณา Google Ads โดยใช้ Facebook เป็นหน้า Landing Page แล้วล่ะก็ ปัญหาแรกที่จะตามมาเลยก็คือ “ไม่สามารถวัดผลโฆษณาได้” เพราะเราไม่สามารถที่จะทำ ทำ Conversion Tracking หรือ ติด Google Analytics บนเว็บไซต์ได้เลย เนื่องจาก Landing Page ของคุณไม่ใช่เว็บไซต์ แต่กลายเป็น Facebook Page แทนนั่นเอง

ซึ่งการไม่ทำ Conversion Tracking หรือติด Google Analytics นั้น ก็เหมือนทำโฆษณาแบบคนตาบอด เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าโฆษณาตัวไหน ได้ผล หรือไม่ได้ผล เพราะเราไม่สามารถเก็บข้อมูลอะไรก็ตามของลูกค้าไว้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการคลิกโทร , คลิกแอดไลน์ เป็นต้น เราจะทราบเพียงตัวเลขคนที่คลิกเข้ามาใน Landing Page แต่คุณแทบจะไม่รู้จักพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ว่าเขาคือใคร เข้ามาชมกี่นาที หรือชมหน้าไหนไปบ้าง และทำการคลิกไปที่ปุ่มไหนบ้างนั่นเอง แต่ถ้าเราทำ Conversion Tracking / Google Analytics เราจะมั่นใจ ได้สถิติที่จับต้องได้ว่าโฆษณาแบบใด ที่ได้ผลดีมากที่สุด และโฆษณาตัวใดที่ควรจะปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้นยิ่งขี้น

ข้อดีของการวัดผลโฆษณา

Facebook Fanpage

searchengineland.com

ช่วยลดต้นทุนค่าโฆษณา – เพราะการวัดผลโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการ ดู Conversions Tracking หรือการดูหลังบ้านอย่าง Google Analytics นั้น ย่อมเกิดผลดีคือ ทำให้เรารู้จักลูกค้ามากขึ้น สามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อได้ว่า แบบไหนเวิร์ค แบบไหนไม่เวิร์ค และปรับปรุงพัฒนา จนได้สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายทาง แต่เลือกทางที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั่นเอง

ลด Bias ในการตัดสินใจ – Bias การตัดสินใจคืออะไร? ก็เป็นเหมือนการที่เรา “เดา” หรือคิดว่ากลยุทธ์นี้จะต้องดีแน่ๆ หรือใช้คีย์เวิร์ดนี้จะต้องเวิร์คแน่ๆ แต่ขาดข้อมูลประกอบ ว่ามันเวิร์คจริงๆ หรือเพียงแค่เราคิดไปเอง ซึ่งการวัดผลโฆษณา จะช่วยตอบคุณได้ว่า กลยุทธ์ไหนดีจริง หรือกลยุทธ์ไหนไม่ได้ผล คราวนี้คุณก็ไม่ต้องมานั่งเดาอีกต่อไป ว่าควรจะทำโฆษณาแบบไหนดี

5. สื่อสารข้อความไม่ได้ดีเท่าที่ควร 

ในการทำ Landing Page ที่ดีที่สามารถใส่ Call To Action (CTA) ต่างๆ ที่สามารถทำให้เกิด Conversion ให้เราได้เป็นอย่างดี ซึ่งการทำ CTA ที่ดี ใน Landing Page จำเป็นต้องมี Element หรือส่วนประกอบต่างๆ ที่ช่วย Convince หรือโน้มน้าวลูกค้าได้เป็นอย่างดี

Message ที่ดีบน Landing Page

Facebook Fanpage

wordpress.org

ซึ่งข้อความที่เราใช้สื่อสารใน Landing Page นั้น ก็จะมีการพาดหัวให้น่าสนใจ หรือเลือกที่เกี่ยวข้องกับ คีย์เวิร์ด เนื้อหาอ่านง่าย เข้าใจง่าย จัดเรียงเนื้อหาตามความสนใจของผู้ชมเว็บไซต์ หรืออาจจะมีเนื้อหา ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย แล้วใช้สินค้าหรือบริการ บอกประโยชน์ สรรพคุณ ให้ลูกค้ารู้สึกสนใจนั่นเอง

 

ข้อเสียของ Message บน Facebook Landing Page

 

Facebook Fanpage

wordpress.org

แต่ถ้าเราใช้ Landing Page เป็น Facebook สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ โพสเราก็ไหลไปเรื่อยๆ เกิด post บนๆ เป็นโพสไม่น่าสนใจ คนก็คลิกออกไปทันที Message ที่คนจะเห็นส่วนใหญ่ก็จะอยู่ใน Cover Photo และ โพสแรกๆเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่คนจะตัดสินใจ ที่สำคัญหาข้อมูลที่อยากทราบยากมาก เช่น อยากทราบว่าขายสินค้าอะไรบ้าง สินค้ามีแบบไหน สีใดบ้าง ราคาเท่าไหร่บ้าง โปรโมชั่นตอนนี้คืออะไร มีลูกค้าเคยซื้อไปแล้วบ้างหรือไม่ บริษัทตั้งอยู่ที่ไหน น่าเชื่อถือหรือไม่ ค่าจัดส่งเท่าไหร่ เงื่อนไขการชำระเงินเป็นอย่างไร  จะเห็นว่าถ้าเป็นเว็บไซต์เราสามารถกดตามเมนูเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เราสนใจ ดังนั้นการควบคุม Message บน Facebook จะยากกว่าการวางไว้บนเว็บไซต์นั่นเอง

สรุป

คงจะหายสงสัยกันไม่น้อยสำหรับคำถามที่ว่า จริงๆ แล้วสามารถใช้ Facebook เป็น Landing Page ได้ไหม ก็หวังว่าจะเข้าใจกันมากขึ้น สำหรับ 5 เหตุผล ที่คุณไม่ควรใช้ Facebook เป็น Landind Page สาเหตุก็เกิดมาจาก คุณจะไม่สามารถใช้งาน Google Ads ได้อย่างเต็มที่เต็มประสิทธิภาพของมัน 

ซึ่งแตกต่างกับการเลือกใช้เว็บไซต์เป็น Landing Page อย่างสิ้นเชิง เพราะสามารถใช้เครื่องมือได้เยอะกว่า มีมาตรฐานมากกว่า ทำให้การทำ Google Ads มีประสิทธิภาพ วัดผลตามจริงได้มากกว่า 

ถ้าหากว่าตอนนี้ใครที่กำลังยิง Google Ads ลงบน Facebook Page ของคุณอยู่ก็อย่าลืมไปเปลี่ยนเป็นเว็บไซต์ เพราะเชื่อเถอะ ว่าจะเป็นการลงทุนที่เห็นผล และคุ้มค่ามากจริงๆ