A/B Testing การตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบัน ทุกคนเข้าถึงโฆษณา แคมเปญต่างๆจากหน้าเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่ยากคือ เราจะตัดสินใจยังไงว่าโฆษณา แคมเปญตัวไหนที่ถึงจะโดนใจลูกค้า กลุ่มเป้าหมายให้เขามาคลิ๊กที่สุด ซึ่งบางที่เราอาจจะใช้ความเคยชิน หรือ ความรู้สึกของเราเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ควรอย่างยิ่ง! จะไม่ส่วงผลดีต่อธุรกิจอีกด้วย ซึ่งมีวิธีการทดสอบง่ายๆ คือ A/B Testing หรือ เรียกสั้นๆว่า การทดสอบโฆษณา เป็นสิ่งที่ทำให้ทำโฆษณาตรงใจทุกคน และคุ้มค่ากับการลงทุน โดยไม่สูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งมีวิธีการอย่างไร ตามมาอ่านกันเลย
A/B Testing เรียกแบบเข้าใจง่ายๆ คือ กระบวนการทดสอบ การเปรียบเทียบการตลาดออนไลน์ชนิดหนึ่ง โดยที่เราไม่ตัดสินใจจากความเคยชิน ความรู้สึกของเรา ว่าทำโฆษณาแบบนี้น่าจะดีกว่า เราควรทดสอบโดยการสร้างสองตัวแปรที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเหมือนกัน กำหนดเวลา แล้วทดสอบการทำงาน ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไร ตัวแปรที่ตรงตามวัตถุประสงค์ผลลัพธ์ที่เราต้องการ ตัวนั้นก็คือ ตัวแปรที่ประสบความสำเร็จ อีกตัวแปรก็จะระงับการทำงาน ตัวอย่างการทำ เช่น โฆษณา A สีเหลือง โฆษณา B สีเทา เมื่อเราทำการทดสอบเสร็จสิ้นก็จะทราบผลลัพธ์ว่าสีไหนช่วยทำให้เว็บไซต์เราดึงดูโ กระตุ้น กลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าเราได้ดีมากกว่ากัน
A/B Testing กับการตลาดออนไลน์มีความสำคัญมาก ดังนี้
การที่เราทำการตลาดออนไลน์ แล้วยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ อาจเป็นเพราะเราตัดสินใจโฆษณาจากความรู้สึกของเราเอง แต่ถ้าทดสอบช่วยเราหาผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ทำให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง พร้อมวิธีปรับแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันเวลา
จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรือ Bounce Rate คือการเข้าชมแล้วปิดหน้าเว็บไซต์ทันที่ เกิดจาก เว็บไซต์ไม่ตรงตามสิ่งที่เขาค้นหา เว็บไซต์ไม่น่าสนใจ การโหลดเว็บไซต์ที่นานเกินไป ซึ่งการทดสอบทำให้มองเห็นปัญหา จุดอ่อนที่เกิดขึ้นของเว็บไซต์ เพื่อในสามารถปรับปรุง พัฒนาเว็บไซต์ของเราให้ดีมากขึ้น
เป็นการเปลี่ยนตัวแปรที่เราต้องการทดสอบความแตกต่าง แต่ยังมีเป้าหมายเดิม เพื่อค้นหาวิธีการที่ให้ผลลัพธ์ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด การที่หาวิธีที่เหมาะสมกับผู้เข้าชม เมื่อเว็บไซต์ตรงกับการค้นหาที่ผู้เข้าชมต้องการ เว็บไซต์น่าสนใจมีประโยชน์ ก็จะสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้เข้าชม ทำให้จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น
การที่เราทำการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์เองโดยไม่มีการทดสอบก็จะทำให้ต้องปรับปรุงบ่อยๆ เพราะต้องทำให้ตรงกับการตลาด ณ เวลานั้น แต่การปรับเปลี่ยนเว็บไซต์ รูปแบบต่างๆ ที่บ่อยเกินไปก็ไม่ดีเท่าไหรนัก เพราะหมายถึงภาพลักษณ์ของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ควรที่ทดสอบเพียงไม่กี่ครั้งแต่ก็ทราบถึงผลลัพธ์ที่เหมาะสมตอบโจทย์กับผู้ใช้งานตั้งแต่ตอนแรก
สามารถช่วยจัดเรียงการวาง CTA (Call to Action) ว่าตรวงไหนเหมาะสมที่ผู้ใช้งานจะคลิ๊กเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับธุรกิจเรา ทำให้ช่วยลดทรัพยากรที่ไม่จำเป็นในการทำโฆษณา แคมเปญ การเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ เพื่อให้ใช้กับตัวเลือกที่ส่งผลลัพธ์ตามที่เราต้องการกับผู้ใช้งาน ก็จะทำให้เว็บไวต์ตรงกับผู้ใช้งานเข้ามาในเว็บไซต์มากขึ้น ลดจำนวนการปิดเว็บไซต์ ภาพลักษณ์ของธุรกิจที่ดีมากขึ้น ก็จะทำให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น จากการทดสอบที่มีประสิทธิภาพ
A/B Testing สามารถทดสอบได้หลากหลาย ซึ่งมีดังนี้
สามารถทดสอบเนื้อหาของเว็บไซต์ ว่าเขียนได้ตรงใจลูกค้า กลุ่มเป้าหมายเรามากแค่ไหน โดยสามารถกำหนดได้ในแต่ละการทดสอบ ผ่านเนื้อหาของเว็บไซต์ ว่าหัวข้อ คำคเนหาที่ต้องการสื่อ เพื่อให้ตรงใจลูกค้ามากที่สุด กับการโฆษณาที่เราคาดหวัง
รูปแบบเว็บไซต์มีผลต่อความสนใจของของลูกค้าว่าผลลัพธ์แบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า สามารถทดสอบการเปลี่ยนแปลงที่ละนิดได้ จนพบสิ่งที่ดี การจัดวางก็มีผลเช่นกัน เช่น ข้อมูลสินค้าบริการ รูปภาพ รูปแบบการเขียน
แบบฟอร์มคือการเก็บข้อมูลของลูกค้า แต่เป็นไปได้ยาก เพราะลูกค้าไม่ชอบทำอะไรยุ่งยาก เราจึงจำเป็นต้องทำแบบเก็บข้อมูลให้ง่าย ครอบคลุมเว็บไซต์เรามากที่สุด ซึ่งการใช้ปุ่ม CTA (Call to Action) สามารถเพิ่มการเก็บข้อมูลของลูกค้าได้มากขึ้น การทดสอบสามารถช่วยออกแบบการวางเว็บไซต์ได้ดีมากยิ่งขึ้น
ช่วยเจาะข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า ว่ามีพฤติกรรมแบบไหน ชื่นชอบข้อความสั้น หรือ ยาว กระชับ เข้าใจง่าย หรือ มีรายละเอียดที่ครบถ้วน การมาเช็คข้อมูลแต่ละคนก็ใช้เวลานานในการวิเคราะห์ อาจจะไม่ตรงตามที่ต้องการ แต่การทำทดสอบ สามารถดูผลลัพธ์และข้อมูลได้ครบถ้วน
A/B Testing จะมีรูปแบบในการทดสอบ ซึ่งสามารถแบบได้ 3 ประเภทดังนี้
รูปแบบแรก เหมาะกับการที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์มาก ต้องการเปลี่ยนแค่บางส่วน จึงเป็นการทดสอบเพียง 1 ตัวแปร เรียกว่า Split URL Testing เช่น การเปลี่ยนสี รูปภาพ หัวของเว็บไซต์ โดยจะเว็บไซต์เป็น 2 URL เป็น URL A , URL B เพื่อวัดว่าการจัดวางนรูปแบบไหนของเว็บไซต์ที่ให้ผลลัพธ์ที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของธุรกิจเรา
รูปแบบที่สอง เหมาะกับผู้ที่เชี่ยวชาญในการทำการตลาด การวิเคราะห์ผลการทดสอบ เป็นการทดสอบหลายตัวแปรพร้อมกัน ซึ่งสามารถทดสอบได้ทั้ง หัวข้อ ภาพ สี ต่างๆ เพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ที่เข้ากับธุรกิจและผู้เข้าชมเว็บไซต์
รูปแบบที่สุดท้าย เหมาะกับการปรับหลายหน้าเว็บไซต์ โดยสามารถทดสอบได้ 2 รูปแบบ
เราจะมาทราบถึงขั้นตอนการทำ A/B Testing จากข้อมูลต้านล่างนี้เลย
ขั้นตอนแรกเราต้องทราบถึงเป้าหมายก่อนว่าธุรกิจเราต้องการอะไรจากการทำเว็บไซต์ ซึ่งควรโฟกัสที่ละเรื่อง เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเพิ่มยอด ,คลิ๊กของโฆษณาออนไลน์ ,เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ การตั้งวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายจะทำให้ทราบว่า จะทำการวัดผลลัพธ์ ไปในทิศทางไหนถึงจะดี
การเก็บข้อมูล เป็นการทำให้เราทราบถึง พฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ ว่าทำอย่างไรเราจะได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมาย แต่ไม่ใช่การคาดเดาเอาเองควรใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ Google Analytics ว่าเขาสนใจด้านไหนของเว็บไซต์ เช่น การที่คนเข้ามาชมหน้าเว็บไซต์แล้วไม่ออกไปไหนเป็นเพราะอะไร ทำไมคนถึงเลือกเข้าเว็บไซต์นี้เป็นจำนวนมาก เราจะได้นำข้อมูลมาก่อนการทดสอบ
นำข้อมูลจากข้อสอง มาตั้งสมมติฐานเพื่อนำไปใช้กับการทดสอบว่าจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ดีกว่าวิธีปัจจุบันที่เราใช้อยู่ เรียงลำดับตามผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จากนั้นก็นำไปทดสอบ เช่น เราอยากให้มี Conversions Rate เพิ่มขึ้น แล้วเราวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นที่ไอคอนการสอบถามข้อมูลไม่น่าสนใจ เราอยากให้ลูกค้ากดจะทำยังไง สีอะไร ตำแหน่งไหน ข้อความอย่างไร ทำการทดสอบสมมติฐานโดยตัวแปรสอดคล้องกับสมมติฐาน แบบ A : เป็นไอคอนโทร แบบ B : เป็นข้อความ แล้วมาทดสอบว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
เมื่อได้สมมติฐาน ก็กำหนดกลุ่มที่ต้องการทดสอบ ระยะเวลา จำนวนผู้ทดสอบ เช่น เราต้องการให้มี Conversions Rate เพิ่มขึ้น การทดสอบจะแบ่งเป็นสองแบบ แบบ A : เป็นไอคอนโทร แบบ B : เป็นข้อความ สามารถทำไดด้วยการใช้ Drafts & Experiments ใน Google Ads กำหนดเวลา และรอผลลัพธ์การทดสอบ
เมื่อทำการทดสอบเสร็จสิ้น สามารถวิเคราะห์ผลลัพธ์จากตัวแปรที่เรากำหนดได้ ตัวแปรไหนที่ทำให้ตรงตามเป้าหมายของเรามากที่สุด เมื่อทราบแล้วให้นำมาทำเป็นโฆษณา แคมเปญได้ทันที แต่ถ้าผลลัพธ์ไม่มากเท่าที่ควรให้ลองทำใหม่โดยการเริ่มตั้งแต่การตั้งสมมติฐาน หรือก็คือขั้นตอนที่ 3 เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ตรงตามเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
A/B Testing จะได้ผลลัพธืที่ดีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่เราตั้ง ว่าต้องการเพิ่มผลลัพธ์ตรงไหน ใช้ทำอะไร ใช้กับงานรูปแบบไหน พอทำการทดสอบเราจึงนำผลลัพธ์ไปวิเคราะห์ต่อไป และสามารถพัฒณาต่อไปได้เรื่อยๆเพื่อให้ธุรกิจของเราดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องทดสอบเพืยงแค่หนึ่งครั้ง สามารถทำได้เรื่อยๆ เพราะพฤติกรรมลูกค้า เทคโนโลยี เปลี่ยนไปตลอดเวลาทำให้ธุรกิจต้องพัฒนาไปตลอดเช่นกัน ไม่งั้นจะไม่สามารถตามทันโลกแห่งเทคโนโลยีได้ การที่เราพัฒณาได้ตลอดก็จะปิดช่องว่างของธุรกิจได้และสร้างประสิทธิภาพของโฆษณาอยู่เสมอ